http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-1 ได้รวบรวมและกล่าวถึงปัญหาทางจริยธรรม (Ethical
Considerations)วิจัยในมนุษย์ จะต้องชอบด้วยมนุษยธรรม จริยธรรม
และไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย ต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบระหว่างประโยชน์ และโทษ
ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนั้น ๆ รวมทั้งหามาตรการ ในการคุ้มครองผู้ถูกทดลอง
ค้นหาผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งหาวิธีการ ในการป้องกัน
หรือแก้ไข เมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น ตลอดจนการหยุดการทดลองทันที
เมื่อพบว่าการทดลองนั้น อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
การประเมินปัญหาจริยธรรม มีแนวคิดบางประการ ที่สมควรนำมาพิจารณาดังนี้
1. งานวิจัยนั้นควรทำหรือไม่ ? ทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาสนับสนุนหรือคัดค้าน คำถามการวิจัย รูปแบบและระเบียบวิธีวิจัย
1. งานวิจัยนั้นควรทำหรือไม่ ? ทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาสนับสนุนหรือคัดค้าน คำถามการวิจัย รูปแบบและระเบียบวิธีวิจัย
2. การวิจัยนี้จำเป็นต้องทำในคนหรือไม่
? ถ้าจำเป็นต้องทำ
ผู้วิจัยมีหลักฐานการวิจัยในสัตว์ทดลอง หรือการวิจัยอื่น ๆ มายืนยันว่า
ประสบผลสำเร็จตามสมควร หรือไม่
3. การวิจัยนั้น
คาดว่าจะเกิดผลดีมากกว่าผบเสียต่อตัวอย่างที่นำมาศึกษาหรือไม่
4. ผู้วิจัยต้องมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะทำวิจัยเป็นอย่างดี
และสามารถอธิบายถึงผลดีและผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการวิจัยนั้นได้
5. ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
(informed consent) จากตัวอย่างที่นำมาศึกษา
หรือผู้ปกครอง หรือผู้อนุบาล แล้วแต่กรณี โดยผู้วิจัย ต้องให้ข้อมูลที่ละเอียด
และชัดเจนเพียงพอ ก่อนให้ผู้ถูกทดลอง เซ็นใบยินยอม เช่น
ก. อธิบายถึงวัตถุประสงค์
และวิธีการที่จะใช้
ข. อธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งผลข้างเคียงต่าง ๆ ความไม่สะดวกสบาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ระหว่างการทดลองนั้น
ค. ผู้ถูกทดลอง ต้องได้รับการยืนยันว่า มีสิทธิจะถอนตัวออกจากการศึกษา เมื่อไรก็ได้ โดยการถอนตัวนั้น จะไม่ก่อให้เกิดอคติ ในการได้รับการดูแล รักษาพยาบาลต่อไป
ง. ข้อมูลทั้งหลาย จะถูกเก็บเป็นความลับ
ข. อธิบายถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งผลข้างเคียงต่าง ๆ ความไม่สะดวกสบาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ระหว่างการทดลองนั้น
ค. ผู้ถูกทดลอง ต้องได้รับการยืนยันว่า มีสิทธิจะถอนตัวออกจากการศึกษา เมื่อไรก็ได้ โดยการถอนตัวนั้น จะไม่ก่อให้เกิดอคติ ในการได้รับการดูแล รักษาพยาบาลต่อไป
ง. ข้อมูลทั้งหลาย จะถูกเก็บเป็นความลับ
6. ผู้วิจัยต้องรับผิดชอบ
ในการดูแล แก้ไข อันตราย หรือผลเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น แก่ผู้ทดลองโดยทันที และต้องปฏิบัติอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้ ต้องเตรียมอุปกรณ์จำเป็น
และมีประสิทธิภาพ ในการช่วยเหลือให้ครบถ้วน
7. จำนวนตัวอย่าง (simple
size) ที่ใช้ ต้องใช้เพียงเท่าที่จำเป็น
โดยคำนึงถึงระเบียบวิธีวิจัยที่กล่าวมาแล้ว
8. ในกรณีที่มีการจ่ายค่าตอบแทนให้อาสาสมัคร
ต้องระบุด้วยว่า ให้อย่างไร และเป็นจำนวนเท่าไรโดยทั่วไป การวิจัยในมนุษย์
จำเป็นต้องส่งโครงร่างการวิจัย ให้คณะกรรมการจริยธรรม ของแต่ละสถาบัน
หรือของกระทรวงฯ พิจารณา เพื่อขอความเห็นก่อนเสมอการ
http://www.learners.in.th/blogs/posts/256509 ได้รวบรวมและกล่าวถึงปัญหาทางจริยธรรม (Ethical
Considerations)ไว้ว่า จริยธรรม (Ethics) หมายถึง
ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องที่เป็นตัวแทนศีลธรรมที่เป็นอิสระในการเลือกที่จะชักนำพฤติกรรมบุคคล
เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศ [Information Technology (IT)] และระบบสารสนเทศ [Information Systems (IS)] ทำให้เกิดปัญหาความแตกต่างกันระหว่างบุคคลและสังคม
เพราะทั้งสองสิ่งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม
ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบต่อสังคม
แต่อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ใหม่
ๆ
สามารถทำให้เกิดการกระจายอำนาจให้องค์การการบุกรุกสิทธิส่วนบุคคลขอผู้อื่นหรือของคู่แข่งขัน
การตกงาน การประกอบอาชญากรรมข้อมูล ตลอดจนการเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544 : 28)
ได้กล่าวไว้ว่า ปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย
ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1.การตั้งชื่อเรื่อง
- ลอกเลียนแบบชื่อเรื่องงานวิจัยของผู้อื่น
- ตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้หน่วยงานโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
- ผู้ให้ทุนขาดความสามารถในการตั้งชื่อและประเมินชื่อเรื่องงานวิจัย
2.การขอรับทุนสนับสนุน
- งานวิจัยเรื่องเดียวแต่ขอรับทุนหลานแหล่ง
- เปลี่ยนชื่อบางส่วน เช่น
เปลี่ยนชื่อจังหวัดแต่เนื้อในเหมือนกันหมดแล้วแยกกันไปขอทุน
- แอบอ้างชื่อนักวิจัยและที่ปรึกษาโครงการ
- การติดสินบนผู้พิจารณา
- ขอทุนแล้วเอาไปจ้างผู้อื่นทำต่อ
- ผู้ให้ทุนให้ทุนโดยเห็นแก่พรรคพวก
หรือบอกให้พรรคพวกส่งเรท่องมาแข่งขัน
- ผู้ให้ทุนใช้ความแค้นส่วนตัวแกล้งไม่ให้ผ่านหรือแกล้งวิธีอื่น ๆ
เท่าที่จะทำได้
- การตั้งผู้ที่ไม่มีความรู้มาเป็นกรรมการพิจารณาทุนวิจัย
- การพิจารณาทุนมีการเกรงใจกันหรือใช้วิธีการตกลงกันล่วงหน้า (lobby)
มาก่อน
3.งบประมาณการวิจัย
- ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง และไร้เหตุผล
- ผู้ให้ทุนตัดงบประมาณอย่างไร้เหตุผล
- ผู้ให้ทุนสร้างเงื่อนไขให้เบิกยาก เช่น
ใช้ระบบราชการเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง
4.การทำวิจัย
-
แอบอ้างชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยโดยส่งเครื่องมือไปให้เป็นพิธี
- ไม่ส่งผลงานวิจัยตามกำหนดเวลาที่ขอทุน
-
ไม่ได้เก็บข้อมูลจริงใช้วิธีสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่ (ยกเมฆ)
- ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
- เร่งรีบทำวิจัยช่วงใกล้ ๆ วันจะส่งผลงานวิจัยทำให้ผลงานวิจัยไม่มีคุณภาพ
- ไม่มีความรู้พอที่จะทำวิจัย
- นำข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างไปเปิดเผย
-
ผู้ให้ทุนไม่มีการติดตามผลการดำเนินการวิจัยของนักวิจัย
5.การเขียนรายงานการวิจัย
-
จูงใจ เบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
- เขียนรายงานในสิ่งที่ไม่ได้ทำจริง เช่น
ไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือวิจัยแต่เขียนว่าหาคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมทั้ง
รายงานค่าสถิติที่สร้างขึ้นเอง เป็นต้น
- คัดลอกข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
- นำผลงานวิจัยผู้อื่นมาเปลี่ยนชื่อเป็นของตน
6.การส่งผลงานวิจัย
-
ได้ทุนแล้วเมื่อครบกำหนดเงื่อนไขไม่ยอมส่งผลงานวิจัยให้หน่วยงานที่ให้ทุนตามสัญญา
- ไม่ได้แก้ตามประเด็นที่ตกลงไว้ก่อนรับทุน และผู้ให้ทุนก็ไม่ได้ตรวจ
กล่าวโดยสรุปปัญหาทางจริยธรรมหรือการผิดจรรยาบรรณ
มีการกระทำผิดทั้งผู้ทำวิจัยหรือผู้ขอทุนวิจัยและผู้ให้ทุนวิจัย
ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
1. การตั้งชื่อเรื่อง
-
ลอกเลียนแบบชื่อเรื่องงานวิจัยของผู้อื่น
-
ตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้หน่วยงานโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
-
ผู้ให้ทุนขาดความสามารถในการตั้งชื่อและประเมินชื่อเรื่องงานวิจัย
2. การขอรับทุนสนับสนุน
-
งานวิจัยเรื่องเดียวแต่ขอรับทุนหลานแหล่ง
-
เปลี่ยนชื่อบางส่วน เช่น
เปลี่ยนชื่อจังหวัดแต่เนื้อในเหมือนกันหมดแล้วแยกกันไปขอทุน
-
แอบอ้างชื่อนักวิจัยและที่ปรึกษาโครงการ
-
การติดสินบนผู้พิจารณา
-
ขอทุนแล้วเอาไปจ้างผู้อื่นทำต่อ
-
ผู้ให้ทุนให้ทุนโดยเห็นแก่พรรคพวก หรือบอกให้พรรคพวกส่งเรท่องมาแข่งขัน
-
ผู้ให้ทุนใช้ความแค้นส่วนตัวแกล้งไม่ให้ผ่านหรือแกล้งวิธีอื่น ๆ เท่าที่จะทำได้
-
การตั้งผู้ที่ไม่มีความรู้มาเป็นกรรมการพิจารณาทุนวิจัย
-
การพิจารณาทุนมีการเกรงใจกันหรือใช้วิธีการตกลงกันล่วงหน้า (lobby) มาก่อน
3. งบประมาณการวิจัย
-
ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง และไร้เหตุผล
-
ผู้ให้ทุนตัดงบประมาณอย่างไร้เหตุผล
-
ผู้ให้ทุนสร้างเงื่อนไขให้เบิกยาก เช่น
ใช้ระบบราชการเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง
4. การทำวิจัย
- แอบอ้างชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัยโดยส่งเครื่องมือไปให้เป็นพิธี
-
ไม่ส่งผลงานวิจัยตามกำหนดเวลาที่ขอทุน
-
ไม่ได้เก็บข้อมูลจริงใช้วิธีสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่ (ยกเมฆ)
-
ยักยอกงบประมาณไปใช้ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
-
เร่งรีบทำวิจัยช่วงใกล้ ๆ วันจะส่งผลงานวิจัยทำให้ผลงานวิจัยไม่มีคุณภาพ
-
ไม่มีความรู้พอที่จะทำวิจัย
-
นำข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างไปเปิดเผย
- ผู้ให้ทุนไม่มีการติดตามผลการดำเนินการวิจัยของนักวิจัย
- ผู้ให้ทุนไม่มีการติดตามผลการดำเนินการวิจัยของนักวิจัย
5. การเขียนรายงานการวิจัย
- จูงใจ
เบี่ยงเบนผลการวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตน
-
เขียนรายงานในสิ่งที่ไม่ได้ทำจริง เช่น
ไม่ได้หาคุณภาพเครื่องมือวิจัยแต่เขียนว่าหาคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมทั้ง
รายงานค่าสถิติที่สร้างขึ้นเอง เป็นต้น
-
คัดลอกข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่อ้างอิง
-
นำผลงานวิจัยผู้อื่นมาเปลี่ยนชื่อเป็นของตน
6. การส่งผลงานวิจัย
- ได้ทุนแล้วเมื่อครบกำหนดเงื่อนไขไม่ยอมส่งผลงานวิจัยให้หน่วยงานที่ให้ทุนตามสัญญา
- ไม่ได้แก้ตามประเด็นที่ตกลงไว้ก่อนรับทุน
และผู้ให้ทุนก็ไม่ได้ตรวจ
เอกสารอ้างอิง
http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-1.เข้าถึงเมื่อ 09/01/13
http://www.learners.in.th/blogs/posts/256509.เข้าถึงเมื่อ 09/01/13
พิชิต ฤทธิ์จรูญ.(2544).ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.กรุงเทพมหานคร
: ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏพระนคร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น